Sunday, September 10, 2006

ลำนำพิราบเพลิง ตอนที่ 2 : โรคภัย

บทที่ ๒ : โรคภัย
ครึ่ก .....ครึ่กๆๆ..

เหล่าม้าพยายามลากเกวียนขนเสบียงและปัจจัยยุทธขึ้นเขาที่สูงชัน ทหารหลายนายแสดงความ
เหนื่อยล้า อากาศกลางเหมันต์ฤดูทรมานเหล่าพลเดินเท้ายิ่งนัก ถึงกระนั้นนายทหารบนม้าก็ยังคง
ออกคำสั่งให้เดินขึ้นเขา พลทหารหลายนายคุยกันถึงสงคราม บ้างก็คุยถึงครอบครัว ณ เมืองที่จาก
มา บ้างก็คุยเรื่องการศึกแนวหน้า พวกเขากำลังเดินทางช่องเขาชามุน เส้นทางลำเลียงสำคัญของ
อาณาจักรทางภาคเหนือ การศึกปัจจุบันอยู่ในสภาพล่อแหลมอย่างยิ่ง เฟียงก์กับลิคีน ยังรบกันอยู่
แม้พวกจูทันจะไม่ส่งทัพรุกรานชิลซาร์ด แต่การทนอยู่เฉยๆปล่อยให้พวกคู่สงครามทั้งสองรบกัน
โดยไม่ได้ทำอะไร ย่อมไม่ส่งผลดีเป็นแน่ แม่ทัพคุมพลเสบียงนาม พราซ่า จึงรับคำสั่งจากองค์เหนือหัว พระเจ้าคาซอน ส่งทัพเสบียงและกระจายกำลังทัพไปตามแนวชายแดนโดยยึดเอา โซราน เมืองหลักของแคว้นวุลแซร์ เป็นจุดนัดหมายในการติดต่อกับผู้ครองแคว้นเพื่อกระจายกำลังทัพ

“ ท่านพราซ่า ทหารเราเดินทัพกันมาตั้งแต่เช้า น่าจะหยุดพักสักครู่นะขอรับ ”

นายทหารระดับสูงขี่ม้าสีดำสนิท ใส่เกราะสีเงิน พิมพ์ตราโล่ติดดาบกระแทกพื้นดิน ตราราชวงศ์
ชิลซาร์ดอันสืบมานาน ๓๐๐ ปี ธงตราสัญลักษณ์เองก็โบกสะบัดอยู่หน้าขบวนทัพ ความยิ่งใหญ่ของทัพชิลซาร์ดไม่เหลือเค้า ยามออกจากเมืองหลวง ด้วยอากาศกับเส้นทางอันโหดร้ายซึ่งนำหน้าทัพทหารที่กำลังจะขึ้นเขารกชันหยุดม้า หลังจากทหารคนสนิทข้างกาย ขี่ม้าตามหลังมาทักท้วงขึ้น
พราซ่ามองสีหน้าเหล่าทหารที่อิดโรยจากแสงอาทิตย์แต่ก็ยังเดินทัพตามคำสั่งของเขา แล้วสั่งว่า

“ ...ซาม สั่งการลงไป เราจะพักที่นี่ ๒ ชั่วยาม จากนั้นจะไม่พักอีก.....เราต้องเร่งไปเสริมทัพ
ที่โซราน ส่งหน่วยสืบข่าวมุ่งไปทั้งหน้าหลังของทัพ รายงานข่าวของพวกทัพเฟียงก์ด้วย ”

“ ขอรับ ..... สั่งหยุดทัพ 2 ชั่วยาม! ส่งหน่วยสืบข่าวออกไป! ”

เสียงทหารแถวหน้าส่งไปตามแถวเป็นระยะ พลเดินเท้ากว่า ๔ หมื่นคน จึงหยุดทัพลงแนวเขา
แม่ทัพนาม พราซ่า ลงจากหลังม้า เขาเดินขึ้นไปที่โขดหินก้อนหนึ่ง และหยิบกล้องข้างกายมองไประยะรอบๆด้านล่างเนินเขา นายทหารคนสนิทเดินตามอยู่ไม่ห่างกาย แนวราบเขาทำให้แม่ทัพผู้เชี่ยวชาญศึกมองเห็นสภาพชัยภูมิโดยรอบได้ชัดเจน เขาเริ่มคิดถึงภารกิจที่ได้รับมอบมา นายทหาร
คนสนิทเอ่ยขึ้น

“ ท่านพราซ่า ขอรับ ผู้น้อย......มีเรื่องไม่เข้าใจ? ”
“ มีอะไรที่เจ้าไม่เข้าใจ? ”
“ ผู้น้อยไม่เข้าใจว่า เหตุใดต้องส่งหน่วยข่าวไปสืบพวกเฟียงก์ ทั้งที่พวกเรารู้ๆกันอยู่ว่า เฟียงก์
กับลิคีนรบๆพักๆกันมาเกือบ ๔๐ ปีแล้ว จริงอยู่ที่เราเข้าใกล้อาณาเขตเฟียงก์ แต่เรากับเฟียงก์เป็นพันธมิตรกันมาช้านาน เมื่อต้นปีกลาย เฟียงก์เองก็เห็นด้วยกับการเข้าตีอาณาเขตพวกเผ่าจูทันของ
เรา เพราะ พวกนี้รุกรานพวกเฟียงก์มาตลอด แม้ว่าตอนนี้จะหยุดพัก ส่วนราชสำนักชิลซาร์ดของเราก็ต้องการขยายอาณาเขตตามพระประสงค์ขององค์ฝ่าบาท แถมพวกเฟียงก์เองก็ช่วยเรื่องเสบียงเราครึ่งหนึ่ง แล้วเหตุอันใด จะต้องสืบข่าวพวกเฟียงก์ด้วยขอรับ? ”

“ ข้ามีเหตุจำเป็น ๓ ข้อที่จะตอบเจ้า คือ เหตุนอก เหตุใน และ เหตุโดยรอบ ”
“ ผู้น้อยมิเข้าใจอะไรคือ เหตุนอก เหตุใน และ เหตุโดยรอบ? ”
“ เหตุจำเป็นข้อแรก คือเหตุนอก เหตุนอกที่ข้าว่านั้น คือ เมื่อปีกลาย ตอนที่เฟียงก์ส่งเสบียงมาให้กองทัพเรานั้น ด้วยเหตุว่า เฟียงก์ตีเอาเมืองชายแดนของลิคีนที่ชื่อ อิเลส ได้ เจ้าคงจะรู้ว่า อิเลส นั้น
เป็นหนึ่งในอู่ข้าวอู่น้ำของทางภาคตะวันออกของลิคีน กษัตริย์เฟียงก์ พระเจ้าซาฟาล มีใจผูกไมตรี
กับองค์เหนือหัว จึงส่งข้าวของลิคีนมา หวังจะให้เป็นเครื่องประกันว่า ชิลซาร์ดกับเฟียงก์เป็นเมืองพี่เมืองน้อง แต่แล้ว ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้ สายขององค์ราชินีรายงานกลับมาเมื่อ ๓ วันก่อนว่า ปีนี้ น้ำจากแม่น้ำทาลชี ต้นน้ำของอิเลสนั้น เกิดน้ำหลากจนฝายกั้นพัง ท่วมไร่นาเสียหายหมด ยุ้งฉางเองก็เสียหาย ข้าวที่เก็บมาจึงไม่พอเลี้ยงศึกติดพันระหว่างเฟียงก์กับลิคีน ด้วยเหตุนี้ การที่เฟียงก์จะอาศัยจังหวะที่เราเข้าตีพวกจูทัน แล้ววกกลับมาตีเราได้มีอยู่มาก.....จำเป็นต้องสืบข่าวสารเตรียมไว้ เพื่อจะทูลต่อองค์ฝ่าบาท เตรียมการรับมือระหว่างที่ข้ากับท่านแม่ทัพคนอื่นไม่อยู่ที่ พาราเอม ………….
……การเดินทัพเพื่อเติมเสบียงในครั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้แนวรบด้านเฟียงก์แตก

“ เป็นแบบนี้เองหรือขอรับ....แล้วเหตุอีก ๒ ข้อล่ะขอรับ ”

“ เหตุข้อ ๒ เหตุในที่ว่า เกี่ยวข้องกับการเมืองภายในของเฟียงก์ ไกลออกไปจากแคว้นวุลแซร์ซึ่ง
เป็นที่หมายของเรา ๑,๐๐ กิโลเมตร จะเข้าเขตปกครองของรัฐแฮสยีน มีตระกูลกัสมาปกครองอยู่
ฐานอำนาจของตระกูลนี้ กินอาณาเขตภาคใต้ของของเฟียงก์ทั้งหมด หัวหน้าตระกูลกัสมาคนใหม่
ชื่อ ซิมบัน เป็นลูกชายแม่ทัพใหญ่ ซูเทฮา หลังจากพ่อตาย เขารับตำแหน่งแทนพ่อ มีสติปัญญา
เป็นเลิศจนพระเจ้าฟาซาลยอมรับ รับตัวเขาเข้าไปในราชสำนัก ตอนนี้เป็นที่ปรึกษากองกำลังภาคใต้ของเฟียงก์ ………พระนางเนอาทูลองค์ฝ่าบาทว่า ต้องระวังบุคคลผู้นี้ให้จงหนัก....เจ้าเป็นทหาร ติดตามข้ามานาน คงจะรู้ว่า แม่ทัพซูเทฮาแห่งราชอาณาจักรเฟียงก์เป็นคนเช่นใด? ”

“ ผู้น้อยทราบขอรับ ต่อให้เป็นทหารใหม่ของแคว้นใดๆ ถ้าพูดชื่อ ซูเทฮา เป็นอันต้องหวาดกลัว
…….แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ แม้อายุจะ ๖๐ กว่าแล้ว แต่ก็ยังบัญชาการรบด้านใต้ เป็นขวากหนามองค์
ฝ่าบาทยิ่งหนัก ผู้น้อยเคยได้ยินว่า ตอนที่ ท่านตายเมื่อ ๒ ปีก่อน ฝ่าบาทคาซอนยังส่งทูตถือสาส์น
แสดงความเคารพไปที่รูลซอร์ เมืองหลวงของเฟียงก์ด้วย ...... ”

“ ใช่ ..........ขวากหนามใหญ่ได้ตายไปแล้ว แต่เสือย่อมไม่ทิ้งลาย .....บัดนี้ ลูกเสือเติบใหญ่แล้ว
คงจะอันตรายมากเชียวล่ะ… ”
“ ท่านแม่ทัพเชื่อว่า ซิมบัน ลูกชายท่าน ซูเทฮา อันตรายขนาดไหนขอรับ? ”
“ ก็มากพอที่จะทำให้พระนางเนอาหวาดระแวงเอาการเชียวล่ะ..”

“ แล้วเหตุข้อสุดท้ายล่ะขอรับ? ”
“ เหตุสุดท้ายคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเฟียงก์กับลิคีน เริ่มจะกลับมาสานไมตรีกันอีกครั้งน่ะสิ! ”
“ ท่านแม่ทัพเอาอะไรมาพูดน่ะขอรับ การรบระหว่างเฟียงก์กับลิคีนน่ะ ถูกบันทึกเป็นหนึ่งใน
ประวัติศาสตร์ของทั้งสองดินแดนนี้แล้วนะขอรับ เฟียงก์กับลิคีนถูกท่านเกรเซน ซาบาเรส
บรรพบุรุษพระนางเนอา ผู้ค้ำจุนพระเจ้ากิลแวน องค์ปฐมกษัตริย์ชิลซาร์ด ทำลายความสัมพันธ์
จนหมดสิ้นเยื่อใยกันไปแล้วนะขอรับ! ”

“ ......ซาม ข้าจะสอนอะไรเจ้าอย่างนะ .....ประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษเอามาใช้กับปัจจุบันของ
ลูกหลานไม่ได้หรอกนะ ”
“ เรื่องศึกสงคราม ผู้น้อยทราบขอรับว่า มันไม่มีอะไรที่จีรังตายตัว แต่ ๓๐๐ กว่าปีนี้มา เฟียงก์กับ
ลิคีนไม่เคยที่จะหยุดเข่นฆ่ากันเลยนะขอรับ แล้วอะไรคือ ตัวบ่งชี้ว่าทั้งสองดินแดนจะกลับมาสาน
ไมตรีกันใหม่..... ”

“ ก็ซิมบัน กัสมาไงล่ะ! ”
“ ........อะไรนะขอรับ เสนาธิการหนุ่มอายุยังไม่ถึง ๓๐ คนนั้น มีสติปัญญาถึงขั้นสานสัมพันธ์ที่ไม่
เคยมีต่อกันมาตลอด ๓๐๐ ปีได้เชียวหรือขอรับ ”
“ .......เจ้าไม่อยากเชื่อหรือ........ข้าเองปีนี้อายุ ๔๕ ..........ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะมีบุญได้องค์เหนือ
หัวกับองค์คู่บัลลังก์พระองค์ที่อ่อนกว่าตัวเองถึง ๑๒ ปี …….ยุคที่เหล่ายอดคนจะเป็นผู้นำดินแดนนี้มันมาถึงแล้วล่ะ ซาม ......แล้วก็คงจะต้องเข่นฆ่ากันไปอีกนาน......”

“ ...แล้วอะไรคือเหตุผลที่ท่านแม่ทัพเชื่อว่าเฟียงก์กับลิคีนจะกลับมารวมกันคืออะไรล่ะขอรับ? …”
“ ...คนที่เชื่อน่ะ ไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นพระนางเนอาท่านน่ะ ”
“ อะไรที่ทำให้พระนางเชื่อว่า ซิมบัน กัสมามีสติปัญญาสูงทัดเทียมพระนางจนสามารถจะหยุด
การรบยาวนานระหว่างเฟียงก์กับลิคีนได้นะขอรับ ”
“ .......บันทึกการรบที่เมืองอิเลส .....ถูกส่งไปให้พระนางเมื่ออาทิตย์ก่อน ผลของการรบคือ เฟียงก์
ที่กำลังจะได้เมืองลูกของอิเลสอีกสามเมืองคือ เซปา พิเล และ อัชชิ ถอนกำลังกลับเข้าไปในรัฐ
เทฟไอน์โดยที่ไม่ได้ติดขัดปัญหาเรื่องอะไรเลย ทั้งกำลังพล เสบียง หรือ แม้กระทั่งเส้นทางรบ ”

“ เทฟไอน์......หน้านี้ของเฟียงก์เหมาะต่อสภาพการรบมาก พึ่งเสร็จจากเก็บเกี่ยว เป็นช่วงที่
กำลังพลอยู่ในสภาพพร้อมรบ อากาศเองก็เย็นสบาย อิเลสอยู่ในมณฑลดิลลูซ เป็นที่ราบขนาด
ใหญ่ กำลังพลเฟียงก์ยิ่งได้เปรียบ เพราะ เฟียงก์เป็นที่สูง รบที่สูงเชี่ยวชาญมาก ยิ่งมารบที่ราบยิ่งได้
เปรียบ..... กำลังพลเฟียงก์กับลิคีนไม่แตกต่างกัน แต่เสร็จการศึกที่อิเลส ทหารได้ชัยชนะ ย่อมดีกับ
ขวัญทหาร .....ท่านพราซ่า แม่ทัพผู้ใดเป็นผู้นำทัพเฟียงก์ตีอิเลสหรือขอรับ? ”

“ แม่ทัพเนอัล ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพรัฐซิงริก ข้ารับใช้คนสนิทพระเจ้าฟาซาล... ”
“ ...จอมทัพใหญ่ออกรบเอง .....ไม่มีเหตุผลที่ต้องถอยเลยนี่ขอรับ..!! ”
“ นี่แหละคือ เหตุผลที่น่าเชื่อว่า การเมืองภายในเฟียงก์กับลิคีนมีการเปลี่ยนแปลง....
…โดยธรรมเนียมของชาวเฟียงก์น่ะ เป็นคนซื่อสัตย์และกตัญญูนัก ยิ่งคำสั่งเสียของบิดามารดา
ถือเป็นสูงสุด รองลงมาคือ คำสั่งเสียของนายเหนือหัว พระเจ้าเฟรู ต้นราชตระกูลพระเจ้าฟาซาล
แต่เดิมก็ไม่อยากรบกับลิคีนเลย ๓๐๐ ปีที่ผ่านมา เฟียงก์จึงรบโดยป้องกันตัวมาตลอด การดำเนินการ
ทางการทูตกับลิคีนก็ทำอยู่ฝ่ายเดียว ที่ครั้งนี้ส่งทัพไปรบ เพราะ ได้ข่าวว่า ลิคีนเติมเสบียงที่อิเลส พร้อมจะรบอยู่รอมร่อ พระองค์จึงสั่งแม่ทัพเนอัลไปตัดเสบียงป้องกันตัว แต่ทหารเฟียงก์กับราษฎร
ในเมืองอิเลส ทรงสั่งให้ปล่อยตัวให้หมด ห้ามฆ่า เพราะ ถือคติตามองค์ปฐมกษัตริย์ คือ เฟียงก์กับ
ลิคีนถือเป็นพี่น้อง ห้ามฆ่า ซึ่งการทำเท่านี้ก็มากพอแล้ว แต่นี่ยังสั่งถอยทัพอีก ทิ้งอิเลสเอาดื้อๆ มันจะไม่มากเกินไปหรือ? ”

“ แล้วทางลิคีนมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างไหมขอรับ?”
“ นี่แหละ คือ เหตุผลหลักที่ข้ากับเจ้าต้องคุมพลเดินเท้าถึง ๔ หมื่นนายเติมเสบียงที่แคว้นทัลฟัลกับ
กำลังพลที่ ๓ แคว้นหลักชายแดน เพราะ สายข่าวที่ส่งไปหาพระนางเนอารายงานมาว่า ฝ่ายลิคีน
ไม่ทำอะไรเลย ........หลังจากกำลังทัพเฟียงก์ทิ้งอิเลส.... ”

“ ….อะไรนะขอรับ? พระเจ้าไธรอน กษัตริย์ลิคีนไม่ออกคำสั่งส่งทัพตามตีทัพเฟียงก์ที่ถอยกลับไปใน
เฟียงก์หรือขอรับ?!! ”

“ ใช่ เจ้าเองก็น่าจะรู้ ถ้าธรรมเนียมเฟียงก์ถือคำสั่งบิดามารดาและนายเหนือหัวเป็นสำคัญ ธรรมเนียมลิคีนยิ่งเคร่งครัดเรื่องนี้มากกว่าเฟียงก์เป็นสิบๆเท่า ........ทหารลิคีนที่ท่องประกาศิตพระเจ้าเธเดน
ปฐมกษัตริย์ลิคีนไม่ได้ตอนตรวจทัพ จะต้องถูกตัดหัวเสียบประจานอยู่ตรงนั้น ....ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า
อะไรทำให้พระเจ้าไธรอนตัดสินใจไม่ส่งทัพตามตีพวกเฟียงก์ ตอนที่เฟียงก์สั่งถอยจากอิเลส……
....ข้าไม่คิดว่า ท่านเกิดเปลี่ยนใจอยากสามัคคีกับพระเจ้าฟาซาล องกษัตริย์เฟียงก์ขึ้นมาเองหรอกนะ...คงจะมีใครซักคนชี้ให้เห็นประโยชน์โดยรวมน่ะ ”

“ แต่ถึงจะมีคนชี้ การไม่ส่งทัพตามตีข้าศึกที่ถอย มันผิดหลักการทหารนะขอรับ! ”
“ เจ้ามาถามข้า แล้วข้าจะไปถามใคร..........แต่ถ้าพูดถึงตัวแปรบางตัวที่สำคัญ ก็คงหนีไม่พ้น
เจ้าพวกพ่อค้าที่ไคกราสหรอก.......เจ้าพวกนั้น เริ่มกดขี่ราคาสินค้าที่ส่งไปขายที่ลิคีนแล้ว
....ตามคำสั่งองค์เหนือหัวคาซอน ”
“ ผู้น้อยไม่ชอบใจสายตาของประมุขสภาเหล่าวาณิชทะเลคนใหม่เลยขอรับ ตอนที่มันส่ง
เกลือกับแร่เหล็กที่อยู่ในเขตของสภาเหล่าวาณิชทะเลมาถวายองค์เหนือหัว ”

“ ทาการี เมฮิสยา เป็นลูกชายคนรองของ ท่าน ทาการัน ประมุขสภาคนก่อนที่พึ่งเสียไป เจ้า
หนุ่มนี่ก็เป็นหมาป่าอีกตัวที่ พระนางเนอาไม่ไว้ใจ มันเห็นประโยชน์ของสงครามเพียงแค่
เอามากดราคาสินค้าเท่านั้น ไม่ได้นอบน้อมชิลซาร์ดด้วยใจจริงหรอก... ”

เวลาบ่ายมาเยือน ตะวันเองก็คล้อยต่ำ เหล่าทหารชิลซาร์ดเมื่อได้พักผ่อน แรงกายและใจก็กลับมา
พราซ่า สั่งเดินทัพต่อ จุดหมายปลายทางยังคงเป็นแคว้นวุลแซร์ ระหว่างทาง พวกเขาต้องผ่านป่าเขารกทึบ ภูเขาน้อยใหญ่มากมาย แต่ทหารทุกนายไม่ย่อท้อ พวกเขาเชื่อว่า สงครามจะปกป้องครอบครัวและมาตุภูมิเกิดของเขา แม้จะไม่มีทหารคนใดบอกได้ว่า ยุคที่บ้าคลั่งจะดำเนินไปอีกนานแค่ไหน

เช้าวันที่เจ็ดของการเดินทัพ พราซ่านำพลขนเสบียงกว่า ๔๐,๐๐๐ นายใต้สังกัดของเขา เดินทางเข้าเขต
เมืองพากร์ เมืองฉนวนระหว่างแคว้นกูลเทซกับวุลแซร์ เจ้าเมืองพากส์ออกมาต้อนรับพราซ่า

“ ข้า อมารัน เจ้าเมืองพากร์ ท่านแม่ทัพเดินทางมาไกล คงเหน็ดเหนื่อย ขอเชิญเข้าไปพักผ่อนในเมือง ”
“ รบกวนท่าน ช่วยจัดที่ทางให้กับเหล่าไพร่พลข้าด้วย พวกเขาเดินทางมานาน ทั้งต้องต่อสู้กับหนทางและอากาศ ข้ากลัวว่า พวกเขาจะเดินทางข้ามปราการธรรมชาติอย่างภูเขาธาดัรไม่พ้น ”
“ ผู้น้อยรับทราบ จะจัดการดูแลให้เป็นอย่างดี ”

ตามลักษณะภูมิประเทศหลักของชิลซาร์ดนั้น อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของทวีป แบ่งเขตปกครองเป็น
๑๖ แคว้นน้อยใหญ่ มีอาณาเขตติดกับเฟียงก์ถึง ๓ แคว้น คือ ทัลฟัล วุลแซร์ และ แกลดาห์ ในบรรดา
แคว้นทั้งหมดของชิลซาร์ด ๓ แคว้นนี้ ถือเป็นสมรภูมิรับสำคัญ ในสมัยอดีต เคยถูก เหล่ากษัตริย์เฟียงก์
ยกทัพมารุกรานหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเสียให้กับเฟียงก์ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จะเสียไปไม่ได้
การเดินทางของพราซ่าในครั้งนี้ นอกจากจะขนเสบียงไปเสริมทัพที่ทัลฟัลแล้ว ขากลับไปชิลซาร์ด เขาจะต้องรายงานเรื่อง การกระจายกำลังพลกว่า ๔ หมื่นนายไปตามแคว้นทั้ง ๓ นี้ด้วย

แต่ด้วยลักษณะพื้นที่ตอนกลางของแคว้นชิลซาร์ด ประกอบไปด้วยภูเขา หนึ่งในนั้นคือ ภูเขาธาดัรที่กั้น
พรมแดนระหว่างแคว้นกูลเทซกับทัลฟัล ทำให้ทัพของทราซ่าไม่สามารถข้ามไปได้ทั้งที่มีอาณาเขต
ติดต่อกัน วิธีเดินทัพที่เร็วที่สุดคือ เดินทางเข้าไปกูลเทซแล้วตัดทัพเข้าทางวุลแซร์ เพื่อเข้าไปในเขต
ทัลฟัลทางทิศใต้ ระหว่างนั้นจะต้องเข้าเขตโซราน เมืองหลักของวุลแซร์เพื่อปรึกษากับผู้ตรองแคว้นว่า
จะจัดกำลังพลกันอย่างไร…

ตกเย็น ในบ้านเจ้าเมือง มีงานเลี้ยงรับรองระหว่างแม่ทัพนายกอง อมารันดูแลเหล่านายทหารในทัพของพราซ่าอย่างดีพร้อมตามกำลังที่ตนจัดหาได้ เมืองเล็กๆอย่างพากร์ นานทีปีหนถึงจะมีกองทหารแวะผ่านมา การดูแลแม่ทัพนายกองอย่างดีก็ถือเป็นสิ่งแสดงความภักดีของเจ้าเมืองเล็กๆต่อเจ้าเหนือหัว แต่แม่ทัพเจนศึกอย่างพราซ่าไม่ได้เข้าร่วมในพิธีรับรองครั้งนี้ด้วย เขาอ่านหนังสือกับบันทึกสงครามอยู่ในเรือนรับรองอีกหลังที่เขาขอให้อมารันจัดให้

เวลาผ่านไปถึงยามสี่ อมารันแวะข้ามาที่เรือนรับรองของพราซ่า
กึกๆ
“ นั่นผู้ใด ” พราซ่าถามขึ้น ขณะกำลังจะเข้านอน
“ ผู้น้อย อมารันขอรับ ”
พราซ่าคิดว่า เหตุใด อมารันถึงมาหาตนกลางดึก เขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น จึงหยิบดาบข้างกายและ
ใส่เกราะอ่อนป้องกันไว้ในเสื้อนอนอีกชั้น ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
“ ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยเดินทางมายามวิกาล หวังว่าคงจะไม่รบกวนท่าน ”
“ ......ท่านมาทีนี่ คงจะมีเหตุจำเป็น .....เข้ามาเถอะ ”
อมารันเดินเข้ามาในห้องรับรอง พราซ่ายังถือดาบติดตัวไม่ห่างกาย อมารันเห็นเข้าจึงพูดว่า
“ ท่านแม่ทัพ เหตุใดจะต้องระวังตัวถึงขั้นนี้ ผู้น้อยมาตัวเปล่า ท่านแม่ทัพไม่เชื่อใจจะค้นตัวก็ได้ ”
พราซ่าได้ยินดังนั้น ก็รู้ว่าตัวเองเป็นแขกแต่กำลังไม่ให้เกียรติเจ้าบ้าน จึงได้ลดดาบลง แล้วเชิญ
อมารันให้นั่ง พลางกล่าวขอโทษ
“ ข้าต้องขอโทษท่านด้วย ...ฝ่าบาทพึ่งครองบัลลังก์ได้เพียง ๕ ปี งานการบ้านเมืองยังไม่พร้อมดี
ข้าจึงต้องคอยระวังเป็นพิเศษ .... ”
“ .....ตระกูลของผู้น้อยเป็นเจ้าเมืองเล็กๆนี้มา ๔ ชั่วคน ถึงจะอยู่เมืองเล็กๆ แต่ก็พอจะรู้ว่า บัดนี้
บ้านเมืองแม้จะสงบสุข แต่ก็ไม่สงบสุขดี การนอกการในยังคงวุ่นวาย .....ผู้น้อยรู้ว่า ฝ่าบาทกับ
องค์ราชินีทรงพระปรีชาแต่.....เมื่อมีคนรัก.........คนชังก็ย่อมมี… ”

เมื่อพราซ่าได้ฟังก็พอรู้เจตนาของอมารัน จึงพูดขึ้นว่า
“ ไม้ดีต้องเลี้ยง ไม้ไม่ดีต้องตัด แต่เกรงคนดูแลจะไม่รู้ หรือรู้.....แต่ไม่คิดจะบอก! ”
อมารันได้ยินเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นไปปิดประตูห้อง ทั้งปิดหน้าต่างอีก
“ เรื่องนี้.....เป็นเรื่องเร่งด่วน ......ก่อนที่ท่านจะมาที่นี่ ข้าก็เคยได้ยินมาว่า ความภักดีของท่านต่อ
องค์เหนือหัว ใครๆก็รู้ แต่เกรงว่า การจะเสีย จึงไม่กล้าพูดต่อหน้าเหล่านายทหาร.......แต่เมื่อได้คุย
กัน ข้าจึงเข้าใจว่า ข้าเชื่อใจท่านได้ ”
“ ......อะไรคือ เรื่องเร่งด่วนที่ท่านว่า? ”
“ ......ก่อนหน้านี้ประมาณครึ่งปี ........ข้าได้รับคำสั่งมาจากท่านผู้หนึ่งให้......คอยสืบข่าวการเคลื่อนไหว
คนผู้หนึ่งอยู่.......”
“ ใครคือท่านผู้นั้น แล้ว เขาต้องการให้ท่านสืบข่าวใคร? ”
“ ......เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านซาฟล์ เจ้ากรมพาหนะและขนส่ง .....สั่งให้จับตาดูท่านมิลลัน แม่ทัพใหญ่
แคว้นทัลฟัล.......ในข้อหาเป็นกบฏ! ”
พราซ่าแสดงสีหน้าตกใจ ไม่ใช่ตกใจเรื่องการกบฏพูด แต่ตกใจชื่อของผู้ถูกกล่าวหา
“ เป็นไปไม่ได้ .....ข้าไม่เชื่อ!….มิลลัน เป็นนายทหารรุ่นเดียวกับข้า ความภักดีที่เขามีต่อองค์ฝ่าบาท
ก็มีไม่น้อยไปกว่าข้า ข้ากลัวว่าข่าวของท่านจะไม่มีมูลซะมากกว่า ”
“ ....ท่านคิดว่า เจ้าเมืองเล็กๆอย่างข้ามีอำนาจและความสามารถขนาดกล้าคิดคดให้ร้ายแม่ทัพใหญ่อย่าง
ท่านมิลลัน แม่ทัพใหญ่แคว้นทัลฟัลหรือ? ”
“ .....ท่านบอกว่าเสนาบดีซาฟล์ เป็นคนส่งจดหมายให้ท่านคอยจับตาดูมิลลัน...ใช่หรือไม่... ”
“ ใช่ ท่านอยากจะดูหนังสือไหมล่ะ ”
“ ก็ดี ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า เรื่องที่ท่านว่า มีหลักฐานยืนยันหรือเปล่า ”
อมารันหยิบหนังสือลงผนึกฉบับหนึ่งออกมาจากชายเสื้อ มีตราประทับด้านหลังเป็นรูปม้าศึก เกวียน
และเรือเล็ก แสดงถึงตราสัญลักษณ์ของกรมพาหนะและขนส่ง
“ จดหมายนี้ ข้าคิดจะทำลายทิ้งหลายครั้งแล้ว เกรงมีผู้อื่นล่วงรู้ แต่วันนี้ได้พบกับท่าน จึงแน่ใจว่าจะฝากชีวิตครอบครัว ๕๖ ชีวิตไว้กับท่านก่อนเรื่องแพร่พราย ”

พราซ่ารับจดหมายไปดู สัญลักษณ์และข้อความเจือจางมาก แต่พออ่านได้ความว่า
“ แต่เดิมที ข้ากับท่านไม่เคยรู้จักกัน กิจราษฎร์ กิจหลวงทั้งปวงต่างขวางขัด แม้เพียงหน้าก็มิเคยพบ แต่กับท่านซายี เจ้ากรมสรรพวุธนั้นนับเป็นสหายสนิท ไปมาหาสู่หลายครานัก ท่านซายีเคยเล่านิทานให้ข้าฟังว่า ทิศตะวันออกของแผ่นดิน มีดิน น้ำ ลม ไฟสถิต ปกปักรักษาแผ่นดินแลประชาราษฎร์
มายาวนานนัก ข้าทายปริศนาข้อนี้ไม่ออก จึงขอคำตอบกับเขา พอทราบความ ๑ ใน ๔ นั้น คือ ท่าน
อามิล บิดาท่าน ท่านซายีเปรียบบิดาท่านดั่งความมั่นคงของปฐพี ข้าถามว่า เหตุใดจึงเปรียบเปรยว่า
ตัวบิดาท่านแลตระกูลนั้นคือ ปฐพี ความโง่เขลาเบาปัญญาของข้ากว้างใหญ่นัก จึงมิรู้ว่า ที่จริงแล้ว ตัวท่าน เป็นถึงสายเลือดของอดีตนายพลาธิการแห่งยุค รามัย ซาตารี หนึ่งใน ๑๒ ต้นตระกูลผู้วางรากฐาน
ให้กับองค์ปฐมกษัตริย์ เมื่อรู้เช่นนี้ ตัวข้าถึงกับกระจ่างแจ้ง นึกเปรยว่า อยากจะขอพบหน้าบิดาท่านสักครา หากไร้กิจใดขวางกั้น แต่มินึกว่า กว่าจะได้พบบิดาท่านก็ด่วนจากไป หากวาสนามี อยากนับท่านเป็นดั่งลูกหลาน จึงขอเขียนเคารพถึงตัวท่านแลราชตระกูลท่านไว้ แต่ประสงค์หลักนั้น มิใช่เพียง เขียนมาผูกปะเพื่อการใด ด้วยเหตุทั้งหมดนั้น สำคัญยิ่ง ประกอบผลัดแผ่นดิน หากช้านานจะเสียการ
เรื่องทั้งหมดนั้นมีอยู่ว่า เมื่อเกือบ สองปี ได้เกิดโรคระบาดที่ลุกลามขึ้นจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภาคเหนือ ในตอนนั้นตัวข้า เป็นเพียงรองปลัดกรมเรือเท่านั้น แต่ได้รับมอบหมายให้มาสืบสวน ข้าตั้งข้อสันนิษฐานว่า มันเป็นโรคระบาดซึ่งติดมากับเรือสินค้าจากทางไคกราส เพราะ บริเวณการติดเชื้อนั้น มีเพียง ๓ แคว้นนี้ เท่านั้น ซึ่งเป็นแคว้นที่มีการติดต่อกับไคกราสมากที่สุด ตัวข้านั้นรับหน้าที่สืบความเกือบถึง ๗ เดือน พอจะรายงานให้พระองค์ได้ทราบว่า ตัวจริงของโรคระบาดนั้น น่าจะเกิดจาก การที่พ่อค้าและชาวประมงนั้น รับเชื้อจากฝุ่นทะเลที่ลมพัดมาขณะกำลังค้าขายอยู่ชายทะเล แล้วเชื้อที่ว่านั้น มีบางส่วนที่ไม่ตายเมื่อได้รับสภาพอากาศทางบก ก็เกิดการแข็งแรงขึ้น พลอยให้เกิดอาการแวดล้อมตามมา จึงมีคนล้มป่วยลง หลังจากที่ข้าได้ถวายรายงานนั้น ฝ่าบาทก็สั่งให้แพทย์หลวงช่วยหาตัวยาบรรเทาอาการแจกจ่ายกัน แต่ยังไม่ทันที่ตัวยาจะได้แจกจ่าย โรคระบาดก็เกิดหายไปเสียสิ้น ชวนให้เกิดข้อสงสัยนัก แต่เมื่อโรคระบาดหายไปแล้ว ฝ่าบาทก็มิได้ใส่พระทัยใด โรคหายไปแต่กลับทิ้งความสงสัยกับตัวข้าไว้
จนกระทั่ง ๑ ปีหลังจากที่เกิดการระบาดนั้น ข้าได้รับรายงานแถบทัลฟัลนั้น เกิดโจรปล้นสะดมขึ้น โจรกลุ่มที่ว่านี้ จะเข้าปล้นหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา ไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอก การปล้นสะดมจะทำร้ายชาวบ้านเพียงแค่เกิดบาดแผล แล้วแย่งชิงทรัพย์สินไป ไม่ถึงกับทำร้ายเอาชีวิต แต่สิ่งที่แปลกประหลาดคือ หลังจากที่ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บแล้ว หลังจากนั้นได้ ๓ – ๔ วัน กลับมีอาการที่เหมือนกับโรคระบาด
ที่ข้าเคยสืบ ตอนนั้น ไม่มีบันทึกถึงการเป็นโรคระบาดส่งมาที่เมืองพาราเอมเลย ตัวข้านั้น ได้รู้เรื่องนี้
เพราะ หมู่บ้านที่เกิดเรื่องนั้น อยู่ในเขตปกครองของแคว้นวุลแซร์ ซึ่งมีท่านเอรา เรียนด์ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของข้าปกครองอยู่ เขาแอบนำเรื่องนี้เขียนใส่จดหมายให้คนสนิทเดินทางมาให้ข้า เพราะ ตัวเขาไม่ค่อยถูกกับฝ่ายพระราชฐานแต่เก่าก่อน ขณะที่ข้ากำลังสืบเงียบๆนั้น ฝ่าบาทคาซอนก็มีคำสั่งให้ท่านมิลลัน ซึ่งประจำอยู่ทัลฟัลนั้นไปปราบพวกโจร ....เรื่องคงจะดีถ้าหากว่า ท่านมิลลันปราบโจรสนองคุณแผ่นดินสำเร็จเพียงประการเดียว.....แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะเก่งกาจสามารถ ขนาดปราบโรคระบาดที่เคยคร่าชีวิต
ราษฎรจำนวนมากได้ ไปพร้อมกับการปราบโจรพวกนั้น...เรื่องที่เหลือ ข้าเห็นควรที่ให้ท่านซึ่งเป็นถึงเชื้อสายรุ่นที่ ๑๒ ของท่านซาตารีพิจารณา
สุดท้าย...ข้าขอให้จดหมายฉบับนี้เป็นเพียงความระแวดระวังที่มากเกินไปของตาแก่คนหนึ่งเท่านั้น ....เป็นไปได้ หากท่านตรึกตรองแล้วเห็นชวนหัวนักก็เผาทิ้งเสียเถิด

พราซ่าอ่านจดหมายจบ ถึงกับมือสั่น สัญชาตญาณของแม่ทัพรู้ดีว่า สิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อนั้นมีใจความว่าอย่างไร มีเจตนาอย่างไร เพราะ แท้จริงแล้ว เสนาบดีซาฟล์ คือ อาจารย์ที่เปรียบได้ดั่งบิดาของตน พราซ่านั้นจำลายมือที่ได้เคยร่ำเรียนกับอาจารย์ได้ดี สายตาที่เปี่ยมด้วยเมตตาของอาจารย์ เสียงที่สอนสั่งจนได้เป็นใหญ่สนองคุณแผ่นดินทุกวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์พร่ำสอนมานั้น เขายังจำได้ดี พราซ่ารู้ดีว่า อาจารย์ของเขาต้องการให้ทำอะไร
“ ...ข้ายังไม่อาจจะปักใจเชื่อจดหมายนี้ได้ ”
“ ..ตอนที่ข้าคิดจะนำจดหมายมาหาท่าน ข้าเองก็คิดเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องตัดใจบอก เพราะ เรื่องนี้ ถ้าปล่อยนานเกินไป อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ”
“ ข้าเคยได้ยินมาว่า ท่านซาตารี บรรพบุรุษท่านนั้น เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ยิ่งกว่าผู้ใดตั้งแต่สมัยบุกเบิกแผ่นดิน...ขอถามท่านตรงๆว่า ท่านเคยศึกษาเรื่องโรคที่อยู่ในเนื้อหาจดหมายหรือไม่ ”
“ ข้าไม่ขอโกหกท่านแม่ทัพ ....เคย...สำหรับข้าซึ่งบรรพบุรุษเป็นหมอแล้ว เมื่อเห็นโรคภัยอยู่ตรงหน้า จะอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไร ”
“ ถ้าอย่างนั้นขอถามท่าน โรคที่ว่านี้ชื่ออะไร มีทางแก้ไหม ”
“ มี.....แต่คนที่แก้ได้......มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ”
“ เขาเป็นใคร เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน โรคระบาดนี้ เมื่อเกือบปีกลาย ฆ่าราษฎรเป็นอันมาก
ยิ่งถ้ามีคนที่รู้จักใช้มันจะยิ่งอันตราย โรคภัยถ้าควบคุมมันไม่ได้ ข้าจะถือว่าเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าควบคุมมันได้ มันจะเป็นอาวุธที่อันตรายที่สุด ”
“ เขา.....คือ บิดาของข้าเอง… ”
พราซ่าเงียบ สีหน้าของเขาเกิดอาการตระหนกอย่างเห็นได้ชัด อมารัน เริ่มเล่าเรื่องราวต่อ
“ พูดไปก็แค้นนัก ตัวข้านั้น เป็นลูกคนโตของตระกูล บิดาข้าทั้งชีวิตยินยอมมาอยู่ที่นี่เพื่ออุทิศตัวให้กับการแพทย์ทั้งหมด แต่ตัวข้าไม่เคยคิดที่จะสนใจเล่าเรียนเลย คิดแต่เพียงว่าอยากจะไปให้พ้นจากที่นี่ อยากจะเพียงสร้างชื่อให้ตระกูลเท่านั้น ตอนที่บิดาข้าตายเมื่อเกือบ ๓ ปีก่อน ข้าไม่ได้คิดอะไร
รู้แต่ว่าต้องสืบทอดตำแหน่งต่อ จนกระทั่งได้รับจดหมายฉบับนี้ ข้าถึงได้รู้ว่า เรื่องทั้งหมด มันไม่ใช่บังเอิญ ข้าเจ็บแค้นนัก บิดาข้าอุทิศตัวให้กับการแพทย์ แต่กลับต้องตายเพียงเพราะ โรคภัยที่คนอื่นยัดเยียดให้ โดยที่ยังไม่ได้กำราบมันในฐานะแพทย์... ”
อมารันแผดเสียง ราวกับว่า เขารอเวลาที่จะมีใครสักคนที่เชื่อใจได้ ใครสักคนที่จะเปิดเผยจดหมายซึ่งเขียนถึงการกระทำอันต่ำทรามและชั่วร้ายเป็นขบถต่อแผ่นดินอย่างเงียบๆ ไม่มีประโยคออกมาจากปากของพราซ่า สิ่งที่ทำให้แม่ทัพเจนศึกอย่างเขากลัวจนไม่พูดอะไรออกมานั้น ไม่ใช่เรื่องที่
โรคระบาดนั้นไม่มีทางรักษา แต่เขากำลังนึกถึงแผนการอะไรบางอย่างที่กำลังจะเริ่มขึ้นและมันก็สั่นคลอนราชบัลลังก์ของเหนือหัวเขาได้

เช้าวันรุ่งขึ้น พราซ่าตรวจตราทัพตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง พลทหาร ๔๐,๐๐๐ นายซึ่งได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หายจากอาการอิดโรยโดยสิ้น ซาม ทหารคนสนิท ออกมาสั่งจัดทัพก่อนที่พราซ่าจะออกมา ซามสังเกตได้ถึงสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของพราซ่า
“ นายท่าน เป็นอะไรรึเปล่าขอรับ ”
“ เปล่า เมื่อคืนข้าเขียนหนังสือดึกเกินไป วันนี้จึงรู้สึกเพลียนัก ”
“ จากที่นี่ถึงวุลแซร์ ต้องเดินทางอีก ๒ วัน นายท่านไหวรึเปล่าขอรับ ถ้าท่านล้มป่วยไป
ทัพจะไม่เป็นระเบียบ ถ้าท่านไม่ไหว ข้าจะสั่งให้พวกเขาพักอีกครึ่งวัน ”
“ การศึกล่าช้าได้หรือ ถ้าข้าพักที่นี่ เหล่าทหารที่ต้องคอยเฝ้ายามการบุกของพวกเฟียงก์ก็พากัน
อดตายหมดสิ ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปจัดทัพรอซะ อีกครึ่งชั่วยาม เราจะออกเดินทาง ”
“ ขอรับ นายท่าน ”
ซามขึ้นม้า ก่อนจะควบตรวจตราทัพ จิตใจพราซ่ากระวนกระวายนัก เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
และเรื่องที่เขารับปากอมารัน
“ ตัวข้าอยู่ที่นี่ ทำได้เพียงตรวจค้นบันทึกเก่าๆของบิดาเพื่อค้นหาโรคระบาดที่ว่านี้เท่านั้น
บิดาข้าสร้างห้องใต้ดิน คิดคำนวณหายามามาก ตัวข้าเองก็ได้ใช้ตำรานั้นอ้างอิงเพื่อหายาที่จะกำราบ
แต่โรคที่ว่านี้ ข้ากลับไม่รู้ที่ที่ไปแน่นอนที่ผ่านมาก็เดินทางตระเวนไปทั่ว เพื่อถามหาลักษณะอาการแต่จนปัญญานัก เมื่อเจอท่าน ข้าจึงคิดว่า ตั้งแต่นี้จะทำเงียบ และทำลายจดหมายฉบับนี้ซะ ช่วยฝากท่านเมื่อกลับถึงพาราเอม เอาจดหมายแจ้งข่าวแก่ท่านซาฟล์ว่า ทางข้าขอใช้ความสามารถของตระกูล จะหายากำราบโรคให้เจอจงได้ ขอท่านช่วยเหลือสืบข่าวแคว้นทัลฟัลเรื่องท่านมิลลันด้วย ”

หลังจากออกเดินทางมาได้หนึ่งคืน ณ กระโจมที่พักของพราซ่าซึ่งทัพเสบียงกำลังเข้าเขตแคว้นวุลแซร์นั้น พราซ่า ฝันถึงอดีตเมื่อสมัยยังเป็นเด็กซึ่งเขาเคยร่ำเรียนอยู่กับมิลลัน เพื่อนรัก สิ่งที่เห็นในฝันคือ เขากับมิลลัน กำลังนั่งคุยกันเมื่อถึงชั่วโมงพักจากการสอน
“ เจ้าอยากจะเป็นอะไรในอนาคตน่ะ พราซ่า ” มิลลันถามพราซ่า
“ เป็นอะไรก็ได้ ข้าอยากรับใช้แผ่นดินร่วมกับอาจารย์ ”
“ โธ่เอ้ย เอาสิ่งที่เจ้าคิดสิ ไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์สอนเจ้า ”
“ ไม่รู้สิ เด็กกำพร้าอย่างข้าคิดได้แค่เรื่องที่อาจารย์สอนเท่านั้นเอง แล้วเจ้าล่ะ ”
“ ข้าเหรอ....ข้าอยากเป็นเสนาธิการบัญชาทัพทหารน่ะ ”
“ บัญชาทัพหรือ ตลกมากเลย ให้คนหัวไม่ดีอย่างเจ้าเป็นเสนาธิการน่ะ ถ้าข้าเป็นทหาร
ข้าจะฆ่าตัวตาย ดีกว่าให้เจ้าสั่งให้ข้าไปตาย ”
“ นั่นสินะ ก็ข้ามันหัวไม่ดีนี่นา ............เฮ้ ชารีล เจ้าอยากจะเป็นอะไรหรือ? ”
มิลลันหันไปถามเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งนอนอ่านหนังสือ ตำราวิชาการทูตอยู่ เขาเอาหนังสือลำ
ออกจากหน้า ก่อนจะเกาหัวและตอบว่า
“ ...ข้าอยากจะเป็นพ่อคน...น่ะ ”
“ ..เฮอะๆ เฮ้ พราซ่าดูเจ้าบ้านี่สิ อยากจะเป็นพ่อคนเรอะ เรื่องแบบนั้น ผู้ชายก็เป็นได้ไม่ใช่เรอะ ”
“ อย่าพึ่งหัวเราะสิ ที่ข้าอยากจะเป็นน่ะ ไม่ใช่พ่อคนแบบนั้น ”
“ เรอะ แล้วเจ้าอยากจะเป็นพ่อของใครล่ะ ”
พราซ่าพยายามเงียบตั้งใจฟังสิ่งที่ ชารีล เพื่อนร่วมรุ่นของเขาอีกคนกำลังจะพูด เขายังจำได้ดี
คำพูดของชารีลทำให้เพื่อนทุกคน จดจำเด็กหนุ่มที่ชื่อชารีล โทรีฟได้
“ ข้าอยากจะเป็นพ่อ....ของ...อัจฉริยะ......ที่ร้อยปี...จะสถิตลงมาบนแผ่นดินนี้น่ะ..
...ก็เท่านั้นล่ะ.....ไม่มากกว่านี้แล้ว ”

Saturday, July 30, 2005

เปิดทำการแล้วครับ

ขอขอบคุณ ท่าน Zetasolid

ใครที่อยากอ่านล่วงหน้าอ่านได้ที่ JJ-book และ ที่นี่นะครับ